2554-07-25

บลจ.กรุงไทยขายกองทุน ETF อิงกองทุนทองคำกองแรกของปท. มูลค่า 3 พันลบ.

เนื้อหา
                นายสมชัย บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม โกลด์อีทีเอฟ แทร็กเกอร์  ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่อ้างอิงกับราคากองทุนทองคำกองทุนแรกของประเทศไทย โดยมีช่วงการเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไปครั้งแรก (IPO)  ในวันที่ 25 — 29 กรกฏาคม 2554  มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท กองทุนมีนโยบายเน้นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR® Gold Trust กองทุนอีทีเอฟทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้   กองทุนจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 โดยใช้ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า GLD
                 จุดเด่นของกองทุน GLD คือ ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนเคลื่อนไหวตามกองทุนรวมหลักที่มุ่งสะท้อนราคาทองคำ Spot Gold หลังหักค่าใช้จ่ายของกองทุน โดยให้ความคล่องตัวในการซื้อขายแบบ Real Time ตามราคาในกระดานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยราคาต่อหน่วยคิดเป็นเงินเพียงประมาณ 2 บาทเศษ และสามารถทราบราคาซื้อขายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอราคาปิดสิ้นวันเหมือนกองทุนรวมทองคำอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมั่นใจกับการมีบริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด บริษัทในเครือห้างทองฮั่วเซ่งเฮง ที่มีประสบการณ์และความน่าเชื่อถือในธุรกิจทองคำกว่า 60 ปีเป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง
                นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ สายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่าจากการเฝ้าติดตามการเติบโตการลงทุนทองคำในตลาดโลก  เห็นว่ามีแนวโน้มที่ดีและนักลงทุนในประเทศก็ให้ความสนใจที่จะลงทุนในทองคำเป็นอย่างมาก โดยตลาดหลักทรัพย์ฯเองก็จะร่วมลงทุนในกองทุน GLD นี้ด้วย ซึ่งการจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟทองคำกองแรกของประเทศไทยโดยบลจ. กรุงไทย ในครั้งนี้ คาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดความสนใจลงทุนในหลักทรัพย์ที่อ้างอิงกับราคาทองคำ รวมถึงสินทรัพย์อ้างอิงในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ
                นายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า  เชื่อว่ากองทุนนี้จะเป็นมิติใหม่ที่ช่วยให้ผู้ลงทุนในกองทุนทองคำมีความสะดวก คล่องตัวในการซื้อขายมากยิ่งขึ้นกว่ากองทุนรวมทองคำในรูปแบบเดิมๆ และพิเศษสุดสำหรับผู้ลงทุนที่ซื้อขาย GLD ผ่านบริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์สในตลาดหลักทรัพย์ สามารถแจ้งความจำนงกับบริษัทเพื่อรับค่าขายคืนเป็นทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.50% น้ำหนักขั้นต่ำ 50 บาทจากห้างทองฮั่วเซ่งเฮงได้ ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมจากการรับค่าขายคืนเป็นเงินโอนเข้าบัญชีทั่วไป
                สำหรับราคาทองคำในตลาดที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมานั้น นอกเหนือจากเหตุที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความเสี่ยงทางเศรษฐกิจด้านต่างๆที่มีมากขึ้นแล้ว ท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯที่อาจเปลี่ยนใจมาออกนโยบายเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ หรือ QE3 หลังจากการขยายวงกว้างของวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป รวมถึงความเสี่ยงที่สหรัฐฯจะถูกปรับอันดับความน่าเชื่อถือ ยิ่งส่งผลให้ราคาทองคำทะยานเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งหากวิกฤติหนี้สาธารณะยังคงลุกลามต่อเนื่อง ราคาทองคำก็คาดว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป
                                                                                                                                                อ้างอิงมาจาก
                                                                                                                ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)
                                                                                                                                      วันที่ 25 กรกฎาคม 2554

                                  

วิเคราะห์ข่าว
                นายสมชัย บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม โกลด์อีทีเอฟ แทร็กเกอร์  ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่อ้างอิงกับราคากองทุนทองคำกองทุนแรกของประเทศไทย โดยมีช่วงการเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไปครั้งแรก (IPO)  ในวันที่ 25 — 29 กรกฏาคม 2554  มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท กองทุนมีนโยบายเน้นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR® Gold Trust กองทุนอีทีเอฟทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้   กองทุนจะเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 8 สิงหาคม 2554 โดยใช้ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ว่า GLD
                จุดเด่นของกองทุน GLD คือ ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนเคลื่อนไหวตามกองทุนรวมหลักที่มุ่งสะท้อนราคาทองคำ Spot Gold หลังหักค่าใช้จ่ายของกองทุน โดยให้ความคล่องตัวในการซื้อขายแบบ Real Time ตามราคาในกระดานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยราคาต่อหน่วยคิดเป็นเงินเพียงประมาณ 2 บาทเศษ และสามารถทราบราคาซื้อขายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอราคาปิดสิ้นวันเหมือนกองทุนรวมทองคำอื่นๆ

ดัชนีความเชื่อมั่นนักธุรกิจไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

เนื้อหา
ผลสำรวจความเชื่อมั่นลูกค้าสินเชื่อธุรกิจของธนาคารกรุงไทย ประจำไตรมาส 2/2554 กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ลดลงในไตรมาสก่อน ชี้เพราะผลกระทบจากภัยพิบัติในญี่ปุ่นคลี่คลายลง และนักธุรกิจเห็นภาพรัฐบาลใหม่ชัดเจนขึ้น
นางพัชรศิริ เกียรติกำจาย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารความเสี่ยง ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยถึงผลการจัดทำดัชนีธุรกิจกรุงไทย หรือ Krung Thai Business Index (KTBI) ซึ่งได้จากการสำรวจความเชื่อมั่นของนักธุรกิจทุกประเภทธุรกิจ ทุกขนาด และทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวนกว่า 1,600 ราย ซึ่งธนาคารได้ทำการสำรวจในทุกไตรมาสว่า ดัชนี KTBI ประจำไตรมาสที่ 2 ปี2554  ซึ่งได้สำรวจในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ปรากฏว่าอยู่ที่ระดับ 53.94 เพิ่มขึ้นจากระดับ 52.51 ในไตรมาสก่อน และอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับปกติ ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 8
ทั้งนี้เป็นผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในภาคใต้และผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่นที่มีต่อภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกได้บรรเทาลง ขณะเดียวกันทิศทางการเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้น หลังจากที่รัฐบาลประกาศยุบสภาและมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งนอกจากจะทำให้มีเม็ดเงินที่ใช้ในกิจกรรมการหาเสียงสะพัดเข้าสู่ระบบในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนแล้ว พรรคใหญ่ต่างชูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นประเด็นหลัก ทำให้นักธุรกิจเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรัฐบาลใหม่สามารถบริหารประเทศด้วยความราบรื่น 
นางพัชรศิริ เกียรติกำจาย กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ค่าดัชนีในไตรมาส 2 กลับมาเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถึงระดับเดิมก่อนที่จะลดลง เนื่องจากนักธุรกิจยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก และภาวะต้นทุนที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย และค่าแรงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะเฝ้าติดตามผลกระทบต่างๆอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลและให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าของธนาคารอย่างทันท่วงที รวมถึงให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ตลอดจนการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขัน

                                                                                                                                                     อ้างอิงมาจาก
                                                                                                                                                    www.ktb.co.th
                                                                                                                                            วันที่ 21 กรกฎาคม 2554

              


วิเคราะห์ข่าว
ผลสำรวจความเชื่อมั่นลูกค้าสินเชื่อธุรกิจของธนาคารกรุงไทย ประจำไตรมาส 2ปี2554 กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ธนาคารได้ทำการสำรวจในทุกไตรมาสว่า ดัชนี KTBI ประจำไตรมาสที่ 2 ปี2554 ซึ่งได้สำรวจในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ปรากฏว่าอยู่ที่ระดับ 53.94 เพิ่มขึ้นจากระดับ 52.51 ในไตรมาสก่อน และอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับปกติ ติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 8 ทั้งนี้เป็นผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในภาคใต้ และผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่นที่มีต่อภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกได้บรรเทาลง ขณะเดียวกันทิศทางการเมืองไทยมีความชัดเจนขึ้น ทำให้นักธุรกิจมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่อเนื่อง

เปิดจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติในหลวง

เนื้อหา
                เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่กรมธนารักษ์ นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค. 19 ส.ค. นี้ กรมธนารักษ์จะเปิดให้ประชาชนผู้สนใจจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 4 ชนิด เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 54 อีก 3 ชนิด เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคล โดยจะผลิตตามจำนวนที่ประชาชนสั่งจอง จองได้ที่หน่วยงานของกรมฯ ธนาคารกรุงไทยและธนาคารออมสิน ทุกสาขาทั่วประเทศ รวมทั้งระบบอี-แคตตาล็อค ที่เว็บไซต์ www.treasury.go.th และรับเหรียญได้ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. ณ สถานที่สั่งจองสอบถามโทร02-226,0251-9ต่อ3101-3106
                นายวินัย กล่าวต่อว่า การจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติมี 2 ประเภท คือ เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก มี 3 ชนิดคือ ชนิดทองคำขัดเงา ราคาจำหน่าย 30
,000 บาท ชนิดเงินขัดเงา ราคาจำหน่าย 1,600 บาท และชนิดคิวโปรนิกเกิล ราคาจ่ายแลก 50 บาทนอกจากนั้น มีเหรียญที่ระลึก ซึ่งมี 4 ประเภทคือ เหรียญทองคำขัดเงา ราคาจำหน่าย 550,000 บาท เหรียญทองคำ ราคาจำหน่าย 20,000 บาท เหรียญเงินรมดำพ่นทรายพิเศษ ราคาจำหน่าย 1,500 บาท และเหรียญทองแดงรมดำพ่นทราย ราคาจำหน่าย 100 บาท.

                                                                                                                                                                    อ้างอิงมาจาก
                                                                                                                                                                เดลินิวส์ - เศรษฐกิจ
                                                                                                                                                             วันที่ 19 กรกฎาคม 2554
                    
                                                                                    
วิเคราะห์ข่าว
                ธนาคารกรุงไทย  เปิดจองเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 4 ชนิด เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค. 54 อีก 3 ชนิด เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพรชัยมงคล จองได้ที่หน่วยงานของกรมฯ ธนาคารกรุงไทยและธนาคารออมสิน ทุกสาขาทั่วประเทศ รวมทั้งระบบอี-แคตตาล็อค ที่เว็บไซต์ www.treasury.go.th

ธ.กรุงไทยเปิดกำไรครึ่งปีแรก 10,730 ล้าน นิวไฮรอบ 16 ปี


เนื้อหา
                ธนาคารกรุงไทยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2554 มีกำไรสุทธิ 5,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,868 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลประกอบการใน งวด 6 เดือนแรก ธนาคารมีกำไรสุทธิ 10,730 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 16 ปี 
                เมื่อวันที่ 20 ก.ค. นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยผลประกอบ ธนาคารในไตรมาสที่ 2/2554 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 2/2553 ว่าธนาคารมีกำไรสุทธิ 5,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,868 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 สาเหตุหลักเกิดจาก รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2,737 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 369 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ทางด้านอัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อ ให้เกิดรายได้ (NIM) ปรับตัวดีขึ้นจากระดับร้อยละ 2.39 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.68 สำหรับผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปี 2554 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 10,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 4,282 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 66 โดย ณ 30 มิถุนายน 2554 ธนาคารมียอดสินเชื่อ 1,327,811 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79,970 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากสิ้นปี 2553 และมียอดเงินฝาก 1,312,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64,336 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ5จากสิ้นปี2553
                ขณะเดียวกัน ในด้านคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารปรับตัวดีขึ้น โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ในงวด 6 เดือนแรก มีจำนวน 67,543 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2553 จำนวน 8,888 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 12 ทำให้สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิ (Net NPL) ลดลงเหลือร้อยละ 3 สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ในระดับร้อยละ 13.92 โดยมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 8.61 ทำให้ธนาคารมีความแข็งแกร่งและสามารถขยายธุรกิจได้ตามแผน
                นายอภิศักดิ์ กล่าวต่อว่า ธนาคารพอใจกับผลประกอบการในงวดครึ่งปีแรก ซึ่งธนาคารมีกำไรสูงที่สุดในรอบ 16 ปี โดยเฉพาะสินเชื่อของธนาคาร มีอัตราการขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง และส่วนใหญ่เป็นการเติบโตจากสินเชื่อธุรกิจของภาคเอกชน ขณะเดียวกัน คุณภาพ ของสินทรัพย์ดีขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนั้น รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีการขยายตัวดีกว่าเป้าหมายทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานที่ดีต่อการรองรับการเติบโตในอนาค

                                                                                                                                                          อ้างอิงมาจาก
                                                                                                           กรุเทพธุรกิจออนไลห์
                                                                                                                                                วันที่ 20  กรกฎาคม 2554
  
                             


วิเคราะห์ข่าว
ธนาคารกรุงไทยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2554 มีกำไรสุทธิ 5,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,868 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 55 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลประกอบการใน งวด 6 เดือนแรก ธนาคารมีกำไรสุทธิ 10,730 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 16 ปี โดยเฉพาะสินเชื่อของธนาคาร มีอัตราการขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง และส่วนใหญ่เป็นการเติบโตจากสินเชื่อธุรกิจของภาคเอกชน ขณะเดียวกัน คุณภาพ ของสินทรัพย์ดีขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนั้น รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีการขยายตัวดีกว่าเป้าหมาย ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานที่ดีต่อการรองรับการเติบโตในอนาคต